ในช่วงวันที่ 7-13 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาทีมงานของ Render Thailand ได้มาท่องเที่ยวที่ จังหวัดฮกไกโด หรือ ฮอกไกโด เพื่อมางานเทศกาลหิมะที่ซัปโปโร ทางทีมงานของเรา จึงนำเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางในจังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น มาฝากกันครับ
ทำความรู้จัก Hokkaido
ชื่อฮกไกโดนั้นเป็นทั้งชื่อ และภูมิภาคในชื่อเดียวกัน ฮกไกโดนั้นมีเพียง 1 จังหวัด และเขตการปกครอง 14 กิ่งจังหวัดด้วยกัน ส่วนการเดินทางนั้น สามารถมาได้โดยเครื่องบินลงที่สนามบิน Shin-Chitose โดยมีทั้งบินตรงจากกรุงเทพฯ หรือจะเปลี่ยนเครื่องที่โตเกียวก่อนก็ได้ โดยผมเลือกไปโดยสายการบิน Japan Airline มาเปลี่ยนเครื่องที่ Haneda ซึ่งเมื่อถึงที่ฮาเนดะแล้วเราต้องตรวจคนเข้าเมืองก่อน รับกระเป๋า และเช็คอินใหม่อีกรอบครับ สนามบิน Haneda นั้นอาคารระหว่างประเทศกับภายในประเทศนั้นอยู่คนละอาคาร หนำซ้ำอยู่ตรงข้ามกันเลยด้วย
ดังนั้นทางสนามบินจึงมีบริการ Bus Service หรือถ้าหากใกล้จวนเวลาแล้วก็จะสามารถใช้รถไฟไปได้ โดยขอตั๋วจากพนักงานเช็คอินได้เลยครับ เมื่อถึงที่อาคารภายในประเทศแล้ว เพียงแค่ตรวจกระเป๋าที่จะ Carry On บนเครื่องอีกครั้งครับ หลังจากนั้นก็เดินรอเข้าเกจได้เลย เวลาจาก Haneda ถึง Shin-Chitose ใช้เวลาเพียง 1:30 ชั่วโมง เมื่อถึงแล้วก็มารับกระเป๋า โดยอาคารภายในประเทศจะมีเพียง 3 สายพานเท่านั้น และมีห้องน้ำที่เตรียมพร้อมสำหรับการแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย บรรยากาศถ้ามองเผินๆ แอบคล้ายอาคารภายในประเทศของสนามบินเชียงใหม่เหมือนกันครับ
เมื่อออกมาจากทางออกแล้ว ก็จะเจอทางเข้ารถไฟเลย เราสามารถซื้อบัตร IC ได้ที่ตู้เลย จะได้บัตร KITAKA มาซึ่งเป็นบัตรของทาง JR ถ้ามาซื้อในเมืองจะได้บัตร SAPICA เป็นของท้องถิ่นมาครับ แต่บัตร IC ที่ฮกไกโดนั้นไม่สามารถได้ทั่วจังหวัดนะครับ จะใช้ได้เพียงแค่ รอบในเท่านั้น หากจะไป Hakodate Asahikawa จะใช้ไม่ได้นะครับต้องซื้อตั๋วอย่างเดียว หรือถ้าหากสะดวกจะซื้อ JR Railpass มาจากไทยเลยก็ได้ครับ
ถ้าหากเผลอใช้บัตร IC นอกเขตที่กำหนด เช่นจาก Sapporo ไปยัง Asahikawa ซึ่งปลายทางนั้นไม่รองรับบัตร IC ก็จะไม่สามารถออกจากระบบรถไฟได้ครับต้องติดต่อเจ้าหน้าที่สถานีแล้วชำระค่าโดยสารครับ แล้วจะได้ใบเสร็จมาให้เก็บไว้ดีๆเลย ส่วนขากลับของผมนั้นก็เลยซื้อเป็นตั๋วบัตรธรรมดาเอาซะเลย 5555 แต่เมื่อมาถึงที่ Sapporo หากจะใช้บัตรรถไฟต่อจะไม่สามารถใช้ได้ครับ เพราะบัตรมันยังเห็นว่าเราอยู่ในระบบอื่น (แล้วน่าจะเห็นว่าอยู่นานแล้วด้วย) เราต้องย้อนกลับไปติดต่อที่ JR แล้วเขาจะสอบถามว่าเมื่อวานจาก Sapporo เราไปไหนมา เราก็แค่บอกเขา พร้อมยื่นใบเสร็จครับ หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ก็จะจัดการให้ครับ ซึ่งการจัดการของเขาคือ Refund บัตรของเราเลยครับ เล่นซะตกใจเลย หากอยากได้บัตรใหม่ก็สามารถซื้อได้ที่ตู้เลยครับ
ใบเสร็จที่ได้มาจากการ Refund
การเดินทางในเมืองซับโปโร
ในเมืองซัปโปโรนั้นมีรถไฟฟ้า (metro) มีอยู่ 3 สาย คือ สายสีเขียว (Nanboku line : 南北線 ) วิ่งผ่านจากทางใต้ขึ้นทางเหนือ, สายสีส้ม (Tozai Line : 東西線) วิ่งผ่านจากตะวันออกไปยันตะวันตก และสีน้ำเงิน (Toho Line : 東豊線) วิ่งผ่านทางตะวันออกสู่กลางใจเมือง และรถราง 1 สายซึ่งที่นี่จะเรียกว่า street car โดยจะขับเป็นวงกลมมีรอบในกับรอบนอกครับ สถานีนั้นจะไม่ใหญ่มาก และมีรูปแบบคือแบบเก่า คือจะมีแค่ป้ายทั่วไป กับแบบใหม่จะสามารถติดตามรถได้ อีกทั้งตอนนี้รถรางได้มีรถขบวนใหม่มาด้วยครับ ซึ่งนานๆทีเราจะได้เห็นกัน เป็นขบวนรถสีดำ
ส่วน JR นั้นก็ครอบคลุมเมืองหลักๆเกือบทุกที่เลยครับมีทั้งขบวนธรรมดา ขบวนด่วน ขบวนด่วนแบบจองที่นั่งครับ ซึ่งการเลือกแบบจองที่นั้นจะต้องจองตั้งแต่ก่อนเข้าระบบครับ ไม่สามารถเลือกเพิ่มเติมได้ภายหลังเข้าสถานีได้ครับ สถานี Sapporo นั้นมีเพียง 10 ชานชะลาเท่านั้น ซึ่งรวมทั้งรถทุกแบบอยู่ที่เดียวกัน รวมไปถึงรถไฟด่วนที่ไปสนามบินอีกด้วย
สำหรับรถไฟทางไกลนั้นเราสามารถซื้อข้าวกล่องขึ้นไปกินบนรถไฟได้ครับ โดยจะมีร้านขายอยู่ด้านล่างชานชะลาหรือแม้ในชานชะลา ก็ยังมีร้านค้าเล็ก ๆหรือตู้น้ำอยู่ครับ ซึ่งตู้น้ำบางตู้สามารถใช้บัตร IC จ่ายได้ซึ่งบัตร IC ที่ว่านั้นไม่จำเป็นต้องเป็นบัตรของ Hokkaido เท่านั้นแต่เป็นบัตร IC ของ JR อะไรก็ได้ด้วยซ้ำทั้ง ICOCA ของ Kansai หรือ SUICA ของทาง Kanto ก็ยังใช้ได้อีกครับ
ในตัวรถไฟก็มีป้ายประกาศ พร้อมเสียงที่ชัดเจน จะคอยประกาศอยู่เรื่อยๆว่าอยู่ไหนแล้ว สถานีต่อไปคืออะไร และถ้าหากถึงสถานีปลายทางแล้วจะมีเพลงเบาๆ เหมือนเป็นการปลุกให้ตื่นอยู่ด้วยครับ สิ่งอำนวยความสะดวกในรถไฟนั้นมีทั้งที่วางกระเป๋าด้านบน โต๊ะวางอาหาร ถังขยะและห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกห้องโดยสารครับ ก่อนออกรถจะมีการประกาศว่าห้องน้ำนั้นจะอยู่ที่ตู้โดยสารที่เท่าไหร่บ้าง และตู้โดยสารไหนสำหรับบุคคลที่จองที่นั่งหรือไม่จองที่นั่งครับ
การพัฒนาพื้นที่รอบสถานีรถไฟ
ความวิเศษของ JR คือการพัฒนาพื้นที่โดยรอบสถานีครับ หรือเรียกว่า TOD ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้า (สามารถเชื่อมกันทางชั้นใต้ดินได้อีกด้วย โดยที่เขาไม่ต้องมาคิดว่าจะเอื้อให้เอกชนหรือเปล่า เขาคิดเพียงจะทำยังไงให้สะดวกสบายต่อผู้ใช้งาน) ทางใต้ดินนั้นที่ Sapporo มีเป็นสิบๆทาง มีทั้งทางเข้าออกปกติ ทางเข้าออกที่อยู่ในห้างฯ หรือทางเข้าออกที่เชื่อมกับห้างทางใต้ดิน รวมไปถึง โรงแรมรถไฟ หรือโรงแรมอื่นๆ และร้านค้าทั้งใต้ดินและโดยรอบ ซึ่งกำไรจากรถไฟนั้นไม่ได้มาจากการขายตั๋วรถไฟ แต่มาจากการพัฒนาพื้นที่โดยรอบ และเก็บค่าเช่าที่ ส่วนทางเดินระหว่างทางก็จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนพิการหรือผู้สูงอายุครับ แม้สถานีรถไฟจะสร้างมาตั้งแต่ช่วงปี 1980 แล้วทางเดินจะมีทั้งขึ้นๆ ลงๆ ก็ไม่มีอุปสรรคแต่อย่างใด ก็ได้มีลิฟต์คอยอำนวยความสะดวกอยู่ด้านข้างครับ
และการพัฒนาการพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟนั้นไม่ใช่มีเพียงห้างสรรพสินค้าแล้วจะอยู่ได้ ต้องมีระบบขนส่งมวลชนรองที่รองรับคนจากสถานีรถไฟไปยังสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองครับ ทั้งรถประจำทาง รถแท็กซี่ หรือลานจอดรถ ซึ่งรถประจำทางนั้นไม่ได้มีเพียงป้ายเดียวเท่านั้น แต่เขาจะกระจายๆ ให้อยู่โดยรอบใกล้ๆกันเพื่อกระจายคนและรถ เพื่อไม่ให้แออัดครับ และหากสถานที่ใดมีจัดกิจกรรมก็จะมีรถประจำทางพิเศษคอยไปส่งอยู่ตลอดเวลา หรือก่อนรอบเวลาที่จำเป็นต้องออกครับ โดยมีรถสแตนบายรออยู่ตลอดเวลาครับ
ส่วนป้ายรถประจำทางนั้น ไม่ได้มีความพิเศษอะไรมากมาย มีเพียงที่นั่งอำนวยความสะดวกและมีชื่อป้ายสถานที่ที่อ่านได้ชัดเจนเพียงเท่านั้น ส่วนบนรถนั้นก็จะขึ้นทางด้านหลัง และก่อนลงก็จ่ายเงินทางด้านหน้าครับ หากพื้นที่นั้นใช้บัตร IC ไม่ได้ ก็จะจ่ายเพียงเหรียญเท่านั้น แต่หากมีธนบัตรก็อย่าได้กังวลใจไป มีเครื่องแลกเหรียญอยู่ข้างๆ เลยครับ ส่วนถ้าหากจะลงรถเพียงกดปุ่มข้างๆ ครับแค่นั้นคนขับรถก็จะรู้แล้วว่าเราจะลงป้ายหน้า และเรานั้นไม่ต้องลุกขึ้นและเดินไปรอที่ประตู เพียงแค่เรารอรถหยุดแล้วถึงค่อยเดินไปครับ ไม่ต้องรีบร้อนลงหรือจ่ายเงินด้วยซ้ำไป
การใช้ป้ายสื่อสาร แม้ Sapporo จะเป็นเมืองต่างจังหวัด และห่างไกลกับเมืองหลวงถึง 800 กิโลเมตรพอๆ กับกรุงเทพถึงเชียงราย แต่การใส่ใจด้านป้ายสื่อสารก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย มีทั้งการใช้สัญลักษณ์ การใช้สี ลูกศร รวมไปถึงป้ายอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นครับ
สัญลักษณ์บอกทางออกภายในสถานี Odori – Susukino มีทั้งบอกทางออก ห้างสรรพสินค้าด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่รวมไปถึงทิศทาง
มีการบูรณาการร่วมของ Metro ทุกสายในการบอกเวลาร่วมกันว่ารถขบวนถัดไปจะมาถึงกี่โมง
“ป้ายบอกทาง”
การมีป้ายบอกเวลาที่รถจะเข้ามาและขบวนถัดไป รวมถึงประเภทของรถ ถือว่าเป็นเรื่องปกติของ JR และประตูทางเข้าออกสามารถเข้าออกได้ทั้งคู่ ไม่ต้องแยกว่าทางใดเข้าหรือออกครับ เพียงแค่ถ้าหากด้านใดด้านหนึ่งถูกใช้งานอยู่ อีกด้านหนึ่งจะใช้งานไม่ได้ครับ
ส่วนป้ายบอกทางริมถนน เสานั้นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้เสาด้านเดียว ด้านที่ติดริมถนน เพื่อทำให้ทางเดินกว้างมากที่สุดครับ
สนามบิน Shin Chitose
สำหรับสนามบินที่ใหญ่ที่สุดในเกาะ Hokkaido นั้นก็คือสนามบิน Shin Chitose โดยนั้นมีรถไฟ JR อยู่ภายในสนามบิน สนามบินจะแบ่งเป็นสองฝั่งคือ ระหว่างประเทศ และภายในประเทศ โดยมีตรงกลางซึ่งเป็นร้านค้าเชื่อมระหว่างสองอาคาร อาคารภายในประเทศสร้างเสร็จเมื่อปี 1992 และอาคารระหว่างประเทศสร้างเสร็จเมื่อปี 2010
โถงสนามบินนั้นจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ห้างสรรพสินค้ามากกว่าสนามบินด้วยซ้ำไป สำหรับจุดดูเครื่องบินนั้นจะอยู่ที่เดียวกับศูนย์อาหารเลย หนำซ้ำกินข้าวไป ยังดูเครื่องบินไปด้วยเลยก็ได้ครับ มีจุดดูเครื่องบินภายนอกอาคาร และพิพิธภัณฑ์ความเป็นมาของสนามบินอีกด้วยครับ
จุดตรวจสัมภาระที่สนามบินมีหลายจุดมากครับ ผู้โดยสารไม่ต้องมารวมอยู่ที่จุด ๆ เดียว อีกทั้งเมื่อตรวจสัมภาระเสร็จ ก็จะเจอตู้ขายตั๋วรถไฟในโตเกียว หากจะเดินทางไปโตเกียว และเดินทางภายในโตเกียว ก็สามารถซื้อตั๋วรถไฟจากที่สนามบินได้เลย ไม่ต้องเสียเวลาไปซื้อที่โตเกียวอีก
เลยมาอีกนิดเราก็จะถึง Gate และจุดรอเครื่องบินแล้วครับ เก้าอี้เกือบทุกจุดจะมีปลั๊กไฟสำหรับชาร์จไฟได้ครับ หรือจะนั่งแบบบาร์เพื่อดูเครื่องบินชัดๆ ก็มีปลั๊กเช่นกันครับ
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการมาเล่า หรือแชร์ประสบการณ์ว่าที่เมือง Sapporo มีสิ่งอำนวยความสะดวก โครงสร้างพื้นฐาน และการบริหารเมืองอย่างไรบ้าง ซึ่งถ้าหากเป็นไปได้ก็อยากจะให้นำข้อดีของเมืองเขามาพัฒนาประเทศเราเช่นกันครับ ในความคิดผม สิ่งอำนวยแม้ไม่ต้องทันสมัยอะไรมากมาย แต่ขอแค่ให้ผู้ใช้งาน ใช้งานได้ง่าย ใช้งานได้จริง และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้งานครับ
สำหรับในตอนต่อไป Render Thailand จะพาทุกคนไปรู้จักกับในสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ใน Hokkaido ที่ทีมงานได้ไปกันนะครับ ติดตามกันด้วยนะครับ 😀